วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

สถานที่ท่องเที่ยว





พญาเสือโคร่งขุนวาง แม่จอนหลวง


ช่วงต้นเดือนไปจนถึงสิ้นเดือนมกราคม จะเป็นช่วงที่ ดอกพญาเสือโคร่ง หรือ ซากุระเมืองไทย กำลังเริ่มผลิดอกสีชมพูหวานสะพรั่ง ไปด้วยกันขอแนะนำสถานที่ชมพญาเสือโคร่งอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งจะเรียกว่าเป็นมีดอกพญาเสือโคร่งให้ชมซึ่งเมื่อถึงเวลาบานแล้วก็มีให้ชมเยอะมากอีกแห่งหนึ่งไม่แพ้พี่ใหญ่อย่างขุนช่างเคี่ยนและขุนแม่ยะ คือ ที่ ขุนวางและแม่จอนหลวง ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยอินนทนนท์ ซึ่งในเวลานี้กำลังเริ่มผลิดอกและมีบางพื้นที่ก็บานสะพรั่งและคาดว่าจะบานเต็มที่ในช่วงกลางเดือน ม.ค. ไปจนถึงสิ้นเดือนม.ค.

ทริปนี้ไปแบบแบคแพคนั่งรถทัวร์จากกรุงเทพไปลงที่อำเภอจอมทองโดยตรงไม่เข้าเมืองเชียงใหม่ หลังจากนั้นก็ติดต่อเหมารถกระบะจากพี่สีทองที่บ้านแม่กลางหลวงราคา 3500 บาท เบอร์โทร 085 723 4957 ให้มารับที่หน้าวัดพระธาตุศรีจอมทอง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับปากทางขึ้นดอยอินนทนนท์ พี่สีทองจะทำหน้าที่เป็นเนวิเกเตอร์พาเราไปเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งพาพวกเราไปปฏิบัติภาระกิจพิชิตนางพญาเสือโคร่งที่ขุนวางและแม่จอนหลวง ตลอด 2 วัน และไปส่งในตัวเมืองเชียงใหม่ในวันกลับ   เช้าวันที่เราไปอากาศดี  เย็นนิดหน่อย ท้องฟ้าแจ่มใส นั่งรถชมวิวไปเรื่อยๆ ใจก็ลุ้นว่าดอกพญาเสือโคร่งจะมากน้อยแค่ไหน เมื่อมาถึงบริเวณที่ทำการอุทยานนั่งรถเลยไปอีกนิด มองไปที่ถนนสองข้างทางก็แทบกรี๊ด เมื่อเห็นดอกพญาเริ่มจะผลิดอกสีชมพูออกมาให้เห็นบ้าง และบางต้นก็บานสะพรั่งเป็นสีชมพูตลอดทั้งต้น



สารภาพว่ามาดอยอินทนนท์หลายครั้งแต่ส่วนมากมาเที่ยวหน้าฝนมีจุดหมายไปยังที่อื่น อย่างเช่น นาข้าวขั้นบันไดแม่แจ่มและแม่กลางหลวง อาจเคยแวะตามสถานที่ท่องเที่ยวบางที่ เช่น พระธาตุเมธินีดล หรือ น้ำตกวชิระธาร แต่ไม่เคยมาดอยอินนทน์ช่วงหน้าหนาวซักที ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยมาชมดอกไม้เมืองหนาวสวยๆ ที่ สถานีเกษตรหลวงอินนทนนท์ ซักหน่อย เสียค่าเข้าชมสถานที่คนละ 20 บาท


แก่งหินเพิง อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี


ล่องแก่ง” เป็นกิจกรรมท่องเที่ยวผจญภัยในช่วงฤดูฝนที่สนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ และยากจะลืมเลือน จนหลายๆ คนที่เคยสัมผัสกับประสบการณ์ล่องแก่งมาแล้ว ต้องย้อนกลับมาตามหาความสนุกท่ามกลางสายน้ำเชี่ยวนี้อีกเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนในยามที่สายฝนโปรยปรายลงมาเยือน

 ก่งหินเพิง” เป็นหนึ่งในสถานที่ล่องแก่งยอดนิยมอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ตั้งอยู่ภายในเขตความรับผิดชอบของหน่วยพิทักษ์ “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” ที่ 9 (ใสใหญ่) หรือ ขญ. 9 ต.สะพานหิน อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี..........ด้วยระยะทางซึ่งห่างจากกรุงเทพมหานครเพียงแค่ 200 กว่ากิโลเมตร ทำให้นักท่องเที่ยวจากเมืองหลวงมักจะเดินทางมาเยือนแก่งหินเพิงในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ของวสันต์ฤดูอยู่เสมอๆ

หากฝนตกติดต่อกันหลายวัน.....ภายหลังจากที่ฝนแรกผ่านพ้นไปได้ประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ แก่งหินเพิงซึ่งเคยแห้งขอดก็จะเริ่มมีน้ำเอ่อท้นขึ้น.....เป็นสัญญาณแรกสำหรับการเปิด "ฤดูกาลล่องแก่งหินเพิง" ที่นักผจญภัยหลายๆ คนเฝ้ารอคอย (ตามปกติเราจะสามารถล่องแก่งหินเพิงได้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายน – ต้นเดือนพฤศจิกายน แต่ในบางปีกำหนดการล่องแก่งหินเพิงดังกล่าวนี้ก็อาจเปลี่ยนแปลงเลื่อนเข้ามาเร็วขึ้นหรือย้ายห่างออกไป ตามแต่สภาพอากาศ ปริมาณน้ำฝน และระดับน้ำในแก่งหินเพิงครับ)







ภูชี้ฟ้า จังหวัดเชียงราย


สถานที่ชมทะเลหมอกยอดฮิตของเมืองไทย เป็นเขตที่มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี โดยจุดชมวิวจะอยู่บริเวณแนวชะง่อนหน้าผาหลักของภู ซึ่งในบริเวณนี้สามารถมองเห็นทะเลหมอกสวยงามครอบคลุมทิวเขาด้านล่าง โดยจะสามารถเริ่มชมทะเลหมอกกันได้ตั้งแต่ช่วงฤดูฝนไปจนตลอดฤดูหนาว นอกจากนั้นหากมาเยือนในช่วงปีใหม่ก็จะได้ชมประเพณีพื้นบ้าน “โยนลูกช่วง” ของชาวม้งที่จะแต่งชุดประจำเผ่าสีสันสวยงามมาร่วมประเพณีโยนลูกหินของหนุ่ม-สาวม้ง และในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เดือนมีนาคม ก็จะเป็นช่วงชม “ดอกเสี้ยว” หรือ “ดอกชงโคป่า” ที่จะพร้อมใจกันบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณภูแห่งนี้
สถานที่ตั้ง บ้านร่มฟ้าไทย ต. ตับเต่า อ. เทิง จ. เชียงราย

ดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่


หรือสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็น 1 ในโครงการหลวงที่ในหลวงฯ ทรงมีพระราชดำริให้ฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมและไร่ฝิ่นให้เป็นที่ทำกินแบบยั่งยืนโดยการปลูกพืชและผักเมืองหนาวมากมาย ดอยอ่างขางมีอากาศเย็นตลอดปี และค่อนข้างหนาวจัดในช่วงหน้าหนาว มีจุดชมทะเลหมอกยามเช้าที่ปกคลุมไปทั่วดอยและยังเป็นที่ชมดอกไม้เมืองหนาวที่จะบานในช่วงปลายปี-ต้นปี รวมไปถึงผักผลไม้เมืองหนาวสดอร่อยที่หาซื้อได้ในราคาย่อมเยา นอกจากนั้นยังมีเส้นทางดูนก เส้นทางศึกษาธรรมชาติและหมู่บ้านชาวเขาที่สามารถไปเยี่ยมชมวิถีชีวิตและเลือกซื้องานหัตถกรรมพื้นบ้านฝีมือดีได้อีกด้วย
สถานที่ตั้ง บ้านคุ้ม ต. แม่งอน อ. ฝาง จ. เชียงใหม่

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

โมโกจู อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ กำแพงเพชร

ด้วยความสูง 1,964 เมตร จากระดับน้ำทะเล โมโกจู จึงเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดใน อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 27 กิโลเมตร ต้องเดินเท้าเข้าไป ใช้เวลาไป-กลับ 5 วัน หืออออ กินเหงื่อแทนน้ำกันจุกแน่ๆ เมื่อยตรงไหน แช่ตรงนั้น ครั้นเวลามืดมาถึง ก็ต้องหาที่ผึ่งกายกันในป่า ตามจุดที่อุทยานฯ กำหนดไว้

สำหรับการเดินเท้าเข้าไปสัมผัส
 โมโกจู นั้นต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์โดยตรง และต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด ที่นี่เค้าจัดปฐมนิเทศน์กันแบบจริงจัง เพื่อความปลอดภัยและเพื่อการทำใจไว้ล่วงหน้า แฮ่ๆ ที่แน่ๆ เตรียมกำลังขาให้สัมพันธ์กับกำลังใจดีที่สุด เพราะทางเดินขึ้นเขาตลอดเส้น ลาดชันไม่ต่ำกว่า 60 องศา อย่าลืมถ่ายภาพตอน “ง่อยเปลี้ยเสียขา” ไว้ดูเล่นนะฮะ 😛โมโกจู
 ชื่ออินเตอร์ขนาดนี้ แน่นอน ภาษากะเหรี่ยงนะฮะ ไม่ใช่
ญี่ปุ่นที่ไหน ฮ่าๆๆ แปลว่า “เหมือนฝนจะตก”เนื่องจากมีหมอกปกคลุมจัดบนยอดเขา โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว เย็นยะเยือก ควันออกปาก พ่นเล่นกันได้ทั้งวัน มองจากยอดลงไปก็จะเห็นทะเลหมอกแห่งป่าตะวันตกอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
แคมป์ของคืนแรก คือ แคมป์แม่กระสา พักทำใจกันแล้วก็ดั้นด้นต่อไปจนค่ำมืด คืนที่สอง แคมป์แม่เรวา กางเต๊นท์กันชิลล์ๆ บริเวณนี้มี น้ำตกแม่รีวา ให้ลงไปแช่เล่น แต่ต้องเดินจากแคมป์ไปประมาณ 8 กิโลเมตร ก็ราวๆ 1 ชั่วโมง เรียกว่าบริหารนิ้วเท้าตลอดทริป เช้าวันฝันใกล้เป็นจริง มุ่งหน้าสู่ แคมป์ตีนดอย ชื่อก็บอกว่าใกล้ยอดละ เชื่อว่าวินาทีนี้ลูกฮึดมาเยอะสุด เพราะปลายทางอยู่ตรงหน้าแล้ว อีกแค่ 20 นาทีเท่านั้น ก็จะถึงยอด โมโกจู ณ จุดนี้ เราจะได้เปิดโลกทัศน์แห่งการมองเห็น ผ่านม่านหมอกทั่วผืนฟ้า ทิวเขาเรียงรายตัดกับเส้นขอบฟ้า สาดแสงด้วยพระอาทิตย์ยามเย็น กดชัตเตอร์กันเป็นร้อยครั้งก็ยังไม่เบื่อ

เกาะไหง ทรายสุดขาว ทะเลสุดสวย เสน่ห์เมืองตรัง

เกาะไหง เป็นเกาะที่มีหาดทรายสีขาวดังแป้ง ยาวตลอดแนวฝั่งตะวันออก ตามแผนที่แล้ว เกาะไหงเป็นแหล่งกำบังคลื่นลมจากมหาสมุทรได้ดี ตั้งอยู่อยู่ในเขตรอยต่อของจังหวัดกระบี่ และตรัง แต่ว่าตามพื้นที่ตั้งแล้ว เกาะไหง ถือว่าเป็นเกาะที่อยู่ในเขตจังหวัดตรัง มากกว่ากระบี่ สำหรับการเดินทางจาก ท่าเรือปากเมง ในจังหวัดตรัง จะสะดวกกว่าสำหรับผู้ที่ตั้งใจจะไปเกาะไหงโดยตรง แต่ก็มีนักท่องเที่ยวไม่น้อย โดยเฉพาะชาวต่างชาติ เลือกที่จะเดินทางจาก เกาะลันตา มายังเกาะไหง
เกาะไหง อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา มีความเงียบสงบ นักท่องเที่ยวน้อยกว่าเกาะลันตามาก เป็นเกาะขนาดเล็ก ไม่มีทางรถยนต์บนเกาะ ไม่เหมือนเกาะลันตา ที่เป็นอำเภอ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เกาะไหงจึงเหมาะสำหรับผู้รักธรรมชาติ และท้องทะเลจริงๆ ตลอดชายฝั่งตะวันออกยาว 2.2 กม. เป็นชายหาดสีขาว และแนวปะการังทางปลายเกาะ ทางตะวันออกเฉียงใต้เกาะ มีอ่าวเล็กๆ แถวท่าเรือเป็นแหล่งดำน้ำตื้นชั้นเยี่ยม หากเราเดินต่อไปทางใต้จะพบ แหลมกวนอิม (สงสัยชาวบ้านแถบนี้ เขาดูแล้วลักษณะคล้ายเทวรูปเจ้าแม่กวนอิม)
นอกจากนี้ มีจุดดำน้ำอีกจุดหนึ่ง ทางตะวันตกเฉียงใต้ เป็น อ่าวโกตง มีหาดทรายยาว 1 กม. เป็นที่ตั้งของKoh Ngai Paradise บนเขาทิศเดียวกันนี้ เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ เราสามารถดำน้ำเล่นแถวนี้ได้ หรืออาจจะถามเจ้าหน้าที่ให้พาไปจุดชมวิว น่าจะใช้เวลาเดินเท้าสัก 2 กม. เพื่อไปถึงยอดเขาชมวิวทะเลตรังทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก
จุดเด่นของเกาะไหง คือ น้ำทะเลใส ไม่ไกลนัก ทางปลายเกาะจะมีแหล่งดำน้ำตื้น (snorkeling) ชั้นยอดอยู่ ไม่ควรพลาดหากได้มาเยือน ที่พักบนรีสอร์ทบนเกาะไหง เป็นจุดชมหมู่เกาะน้อยใหญ่ได้สวยงาม ชาวต่างชาตินิยมมาอาบแดด อ่านหนังสือริมหาด หรือหากชอบดำน้ำ ก็สามารถเช่าอุปกรณ์ ได้ที่รีสอร์ท ราคาประมาณ 50 บาท หรือซื้อทัวร์เที่ยว 4 เกาะ ราคา 700 บาท/คน มีขายอยู่ทุกวัน  สี่เกาะที่ไม่ควรพลาดคือ เกาะเชือก เกาะม้า ถ้ำมรกต (เกาะมุก) อยู่อีกด้านของเกาะต้องมุด และลอยตัวเข้าไปในถ้ำ และเกาะกระดาน หรืออีกทริปที่น่าสนใจคือ เกาะรอก ขึ้นเหนือไปทางเกาะลันตา ประมาณ 29 กม.จากเกาะไหง ราคาจะสูงอีกหน่อย ประมาณ 1200 บาท/คน โดยเรือเร็ว รวมค่าเข้าอุทยานฯ หมู่เกาะลันตาสำหรับนักดำน้ำลึก เราสามารถเรียนคอร์ส Scuba ได้ที่นี่ หรือเลือกดำน้ำตื้นแทน ส่วนคนที่ยังไม่พร้อม สามารถพายเรือแคนู เที่ยวหมู่เกาะใกล้เคียง ว่ายน้ำเล่นริมหาด หรือเดินป่าศึกษาธรรมชาติหลังเกาะ แทนกันก็ได้ถ้าหากนักท่องเที่ยวท่านใด มีแผนจะไปเที่ยวทะเลในช่วงปลายปีนี้ แบบใกล้ชิดธรรมชาติ ห่างไกลจากผู้คนพลุกพล่านในจำนวนมาก ที่เกาะไหง คืออีกหนึ่งท้องทะเลอันเงียบสงบ และยังมีธรรมชาติที่สวยงามแบบเพียวๆ รอเราอยู่ในตอนนี้ ถ้าไปเที่ยวช้ากว่านี้ เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตท้องทะเลแห่งนี้ ยังคงสวยงามเหมือนเดิมหรือเปล่า? เหมือนหลายๆ ที่เคยประสบชะตากรรมเช่นนี้มาก่อน จริงมั้ย!?


ป่าสนสลับสี โครงการหลวงวัดจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่




เมื่อลมหนาวเดินทางมาถึง ป่าสนของ อ.กัลยาณิวัฒนา อำเภอลำดับ 878 ของประเทศไทย จะเริ่มผลัดใบรับฤดูหนาว เปลี่ยนสีเขียวของป่าที่ได้รับน้ำตลอดฤดูฝนให้เป็นสีสันตระการตา ไล่สีตั้งแต่เหลืองและน้ำตาลของต้นสนแดงและส้มของต้นเมเปิล ภาพที่เห็นคล้ายผืนผ้าใบไร้ขอบเขต ที่ถูกละเลงสีด้วยพู่กันธรรมชาติ และความที่แต่ละต้นมีการไล่ลำดับสีแตกต่างกัน ยิ่งทำให้ความสวยงามของเฉดสียิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ สนสองใบและสนสามใบของที่นี่ เป็นป่าสนธรรมชาติผืนใหญ่ที่สุดของประเทศไทย 



จากหมู่บ้านที่ต้องเผชิญความลำบาก ก่อนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงโปรดเกล้าให้พัฒนาจนกลายเป็น “โครงการหลวงหมู่บ้านวัดจันทร์” เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของราษฏร กระทั่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมนติกในปัจจุบัน ไฮไลต์สำคัญคือสัมผัสความอลังการของป่าสนใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเพลิดเพลินกับหลากสีสันของใบไม้งามตามธรรมชาติ เช่น ใบเมเปิ้ลสีแดงส้ม ที่พร้อมใจผลัดใบในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ของทุกปี ใกล้กันมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่หากมาเยือนในยามเช้า จะได้ยลสายหมอกแห่งความหนาวจับกลุ่มลอยฟุ้งเหนือผิวน้ำ ปกคลุมทิวสนจนกลายเป็นวิวสุดงดงาม และยังมีจักรยานให้ปั่นดื่มด่ำอากาศบริสุทธิ์, เดินศึกษาป่าสน หรือคลุกคลีไมตรีจิตจากชาวบ้านปากะญอได้ตามอัธยาศัย



ป่าห่มศรัทธา วัดป่าภูก้อน อ.นายูง จ.อุดรธานี


ศาสนสถานที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา และความสวยงามของสถาปัตยกรรมของวัดป่าภูก้อนแห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขา ที่รายล้อมด้วยผืนป่าเขียวขจีกว่า 3,000 ไร่ ซึ่งจุดเริ่มต้นในการสร้างวัด คือ ความมุ่งหมายที่จะรักษาธรรมชาติของป่าอันสมบูรณ์ และแหล่งต้นน้ำลำธารอันอุดมสมบูรณ์เอาไว้จากการถูกบุกรุกทำลาย จนกลายเป็นทิวทัศน์ระดับ Unseen Thailand
ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี” ที่สร้างเนื่องในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ พระพุทธรูปปางไสยาสน์แนวนอนความยาวกว่า 20 เมตร ที่ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 6 ปี และเต็มไปด้วยตำนานเล่าขาน ตั้งแต่การได้มาของหินอ่อนขาวบริสุทธิ์จากประเทศอิตาลี  ซึ่งนำมาใช้เป็นส่วนของเศียรพระ รวมถึงงานแกะสลักอันวิจิตรตระการตาราวกับมีชีวิต จากนั้นแวะขึ้นไปกราบนมัสการ “องค์พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์” เจดีย์ที่ชั้นบนสุดเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
บริเวณวัดเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม ที่นอกจากจะเย็นใจในการได้เดินทางมาเยือนดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา ยังเย็นตาไปกับงานก่อสร้างอันสวยงามอลังการ ร่วมสัมผัสความสุขในดินแดนพุทธศาสนาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย จากหัวใจสีเขียว ที่เปลี่ยนป่าผืนสุดท้ายแห่งอีสานตอนบน ให้กลายเป็นวัดพิทักษ์ป่าอันเขียวขจี

 เขาช้างเผือก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

เคยฝันไหม..ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต จะขึ้นไปบนท้องฟ้า สามารถสัมผัสและเหยียบเมฆได้? วันนี้จะเป็นความจริง เมื่อไปเยือน “เขาช้างเผือก” ยอดเขาสูงสุดกว่า 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ผืนป่าที่ยังรักษาความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้เป็นอย่างดี

สิ่งท้าทายสำหรับนักท่องเที่ยว “ใจถึง” คือ การไต่พิชิตยอดเขาช้างเผือก ด้วยระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่นิยมการผจญภัย  และมีร่างกายที่แข็งแรง เพราะต้องบากบั่นในเส้นทางลาดชัด ปีนข้ามเขาหลายลูก พร้อมเผชิญหน้า “สันคมมีด” สันหินแคบราว 1 เมตร ที่สองข้างทางเป็นผาลาด แต่รางวัลเมื่อถึงเส้นชัยช่างคุ้มค่า นั่นคือทัศนียภาพแสนงดงาม ของเขื่อนวชิราลงกรณ์ วิวฟากฝั่งประเทศพม่า รวมถึงสีครามของท้องทะเลอันดามัน คลอเคลียก้อนเมฆและสายหมอก  ที่จะทำให้คุณประทับใจจนลืมเหนื่อย!

– ช่วงเวลาที่เหมาะสมไปได้ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์
–  อุทยานฯ จำกัดนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนยอดเขาช้างเผือก จำนวน 60 – 80 คน/วัน– ค่าบริการลูกหาบคนละ 900 บาท (จำนวนลูกหาบที่ใช้ ขึ้นอยู่กับจำนวนสัมภาระของแต่ละคณะ)
– ค่าบริการเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่เป็นผู้นำทางคนละ 900 บาท
– เปิดให้ท่องเที่ยวประมาณช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศของแต่ละปี
– นักท่องเที่ยวควรมีการเตรียมความพร้อมร่างกายให้แข็งแรง ควรเตรียมหมวก เสื้อแขนยาว แว่นกันแดด ไฟฉาย ของใช้ส่วนตัว และอุปกรณ์การเดินทางที่เหมาะสม
– สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ โทร 034-532-114, 081-382-0359 และททท. สำนักงานกาญจนบุรี โทร 034-512-001 , 034-512-500
การเดินทาง จากกาญจนบุรีใช้ทางหลวงหมายเลข 323 สายกาญจนบุรี-ทองผาภูมิ ถึงตลาดอำเภอทองผาภูมิ ระยะทางประมาณ 141 กิโลเมตร จากอำเภอทองผาภูมิ ใช้เส้นทางหมายเลข 3272 สายทองผาภูมิ-บ้านไร่-ปิล๊อก ถึงสามแยกบ้านไร่ให้เลี้ยวซ้ายไป จนถึงอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 24-25


 ภูลวงตา พะเนินทุ่ง อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี



หากเอ่ยถึง “ทะเลหมอก” ส่วนใหญ่ทุกคนคงนึกถึงทะเลหมอกภาคเหนือ แต่ยังมีทะเลหมอกอีกหนึ่งแห่ง ที่ไม่ไกลมากนักจากกรุงเทพฯ คุณก็จะได้เห็นทะเลหมอกที่มีให้ชมตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อน โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงภาคเหนือเพราะที่ “เขาพะเนินทุ่ง” ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,207 เมตร มีให้ยลโฉมตลอดทั้งปี

ซึ่งเกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าและต้นไม้ ที่พร้อมใจกันคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา จนกลายเป็นทะเลหมอกหนาตา ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกันอย่างเต็มที่ ในช่วงเช้าจะมองเห็นกลุ่มควันแห่งความหนาวสีขาวนวลปกคลุมทั่วหุบเขา เมื่อเริ่มจางลง บริเวณเบื้องล่างจะปรากฏภาพป่าดงดิบอันแสนชุกชุม มีเทือกเขาสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดตาอยู่ด้านหลัง โดยจุดชมทะเลหมอกจะมีอยู่ 2 แห่ง คือ จุดชมวิวกิโลเมตรที่ 30 และ 36 สำหรับช่วงที่ทะเลหมอกถูกยอมรับว่างดงาม รวมถึงมีอากาศเย็นสบายที่สุด คือตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป นอกจากนี้ยังสามารถชื่นชมดอกไม้แปลกตา และมีโอกาสพบสัตว์หายากนานาชนิดได้ตลอดเวลา เช่น นกเงือก ค้างแว่นถิ่นใต้ พญากระรอกดำ ไก่ฟ้า ไก่ป่า เป็นต้น

– อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้กำหนดปิดพื้นที่ท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ตั้งแต่บริเวณด่านสามยอด – บ้านกร่างแคมป์ – เขาพะเนินทุ่ง ในวันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ตุลาคม และจะเปิดอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายนของทุกปี
– กำหนดเวลาขึ้น–ลงเขาพะเนินทุ่ง วันละ 2 รอบ ดังนี้ 
เวลาขึ้น  ช่วงเช้าเวลา 05.30- 07.30 น.   ช่วงบ่ายเวลา 13.00 – 15.00 น.
เวลาลง  ช่วงเช้าเวลา 09.00 – 10.00 น.  ช่วงบ่ายเวลา 16.00 – 17.00 น.
– จองพื้นที่กางเต็นท์  www.dnp.go.th
– ติดต่อเช่ารถขึ้นเขาพะเนินทุ่งและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โทร. 032-459293
– สอบถามข้อมูลโรงแรม/ที่พัก นอกที่ทำการอุทยานที่ททท.สำนักงานเพชรบุรี โทร.032-471005-6 www.เที่ยวภาคกลาง.com
การเดินทาง จากกรุงเทพ ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) ผ่าน จ.สมุทรสงคราม – สมุทรสาครถึง แยกวังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่านแยกเข้าตัวเมืองเพชรบุรี ถึงสามแยกท่ายาง (กม.183-184) เลี้ยวเข้าถนน 3187 ผ่าน อ.ท่ายางและเลียบคลองชลประทาน ระยะทางประมาณ 7 กม. ถึงเขื่อนเพชรใช้เส้นทาง 3499 ระยะทางประมาณ 30 กม. ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จากที่ทำการอุทยานฯ ถึงบ้านกร่างแคมป์ ระยะทาง 35 กม. และต่อไปอีก 15 กม.ถึงเขาพะเนินทุ่ง

หมู่เกาะอินดี้ หมู่เกาะทะเลตราด



ตราด สวรรค์ของคนรักธรรมชาติ พร้อมแล้วที่จะให้คุณได้ไปสัมผัสโลกของทะเลตะวันออกที่สวยงามไม่แพ้ฝั่งอันดามันพบกับสีเขียวมรกตของท้องทะเล สีฟ้าของท้องฟ้าปนเมฆจางๆ ที่ตัดกับสีสันของชุดว่ายน้ำของนักท่องเที่ยว พร้อมเกาะน่าเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกาะช้าง เกาะกูด เกาะหมาก เกาะกระดาน เกาะขาม ฯลฯ ให้คุณเลือกว่าอยากไปชิวที่ไหน

น้ำทะเลใสราวกระจก ตัดสลับท้องฟ้าสีฟ้าคราม เพลิดเพลินกับสิ่งมีชีวิตใต้มหาสมุทร คือ เสน่ห์ทะเลฝั่งตะวันออกในจังหวัดตราด เมืองเกาะครึ่งร้อยที่หลายคนอยากมาเยือน ไล่ตั้งแต่เกาะกูด เกาะที่ The New york Times จัดให้เป็น 1 ใน 31 สถานที่ควรไปเยือน โดยเฉพาะบริเวณหาดคลองเจ้า มีหาดทรายเนียนละเอียดที่สุดบนเกาะกูด รวมถึงป่าชายเลนเขียวครึ้มทอดเป็นแนวยาวสุดสายตา จากนั้นไปเกาะหมาก เพื่อดำน้ำชมประติมากรรมช้างใต้ทะเลจากฝีมือของศิลปินแห่งชาติชื่อดัง ที่มีให้เลือกชมถึง 9 ตัว ต่อด้วยการสวมสน็อกเกิล เสื้อชูชีพ แล้วกระโดดลงไปดำผุดดำว่ายชมปะการังน้ำตื้น เห็นปลานานาชนิดว่ายไปมาอยู่รอบตัว ใต้ท้องทะเลอ่าวไทยสุดตื่นตาตื่นใจที่หมู่เกาะรัง นอกจากนี้ยังมีเกาะอื่นๆ อีกมากมาย เช่น เกาะกูด, เกาะผี, เกาะกระดาด ที่สร้างความประทับใจได้ไม่แพ้กัน
ไม่เพียงแต่ท้องฟ้าและทะเล หมู่เกาะทะเลตราดยังมีกิจกรรมให้เลือกทำอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชมฝูงปลาที่ เกาะกระดาด ดูปะการังตามแนวหินภูเขาไฟที่เกาะขาม หรือปั่นจักรยานชมวิถีชีวิตอันเรียบง่าย ดื่มด่ำความสวยงามของธรรมชาติ นั่งมองทะเลยามกลางวัน มองดวงดาวยามค่ำคืน จากนั้นเปิดหัวใจคุณได้สัมผัสความสุขที่หมู่เกาะแผ่นดินตะวันออกรอมอบให้

– เกาะหมากมีสวนยางพาราให้เที่ยวชมวิถีท้องถิ่นของชาวบ้าน และเกาะกูดมีน้ำตกให้ไปนอนเล่น
– ควรดูสัญญาณโทรศัพท์ดีๆ เพราะบางแห่งจะกลายเป็นสัญญาณของประเทศกัมพูชา หากใครเปิดระบบอัตโนมัติไว้ ระวังจะเจอค่าโทรแบบ international ซึ่งมีราคาสูง
– ที่เกาะช้างมีบริการ Dinner Cruise ที่นั่งเรือพายพาชมหิ่งห้อยยามค่ำ โรแมนติกมากสำหรับคู่รัก ติดต่อได้ที่ชมรมนำเที่ยวพื้นบ้านสลักคอก
การเดินทาง รถส่วนตัวสามารถเลือกไปได้หลายเส้นทางสู่ จ.ตราด ทั้งทางหลวงหมายเลข 3 (สุขุมวิท) หรือ 34 (บางนา-บางปะกง) นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารประจำทาง และสามารถต่อรถไปถึงท่าเรือได้อย่างสะดวกสบาย

 สระว่ายน้ำกลางทะเล เกาะห้อง จ.กระบี่


หากใครได้มาลอยคอไปกับความสวยใสของสระว่ายน้ำสีมรกตของเกาะห้อง ก็แทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปได้ไม่ยาก ลากูนกลางทะเลแห่งนี้ รายล้อมด้วยผาหินปูนเรียงรายที่โอบล้อมน้ำทะเลใสแจ๋วไว้ จนเหมือนเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัวที่ไม่มีคลอรีน มีก็แต่สระน้ำใสๆ ที่ขอบสระเป็นหาดทรายขาว แถมด้วยปลาทะเลฝูงใหญ่ที่คอยเวียนว่ายอยู่เป็นเพื่อนไม่ให้เหงา

ผาชันที่ตั้งอยู่รายรอบเกาะ เสมือนผนังที่ห้อมล้อมทะเลน้ำใสไว้กึ่งกลาง จนเกาะห้อง จ.กระบี่ ถูกขนานนามอีกชื่อหนึ่งว่า อ่าวลากูนหรือทะเลใน ซึ่งถือเป็นเกาะที่มีทัศนียภาพสวยงามมาก โดยเฉพาะน้ำทะเลสีคราม จุดเด่นของเกาะห้องอยู่ที่ “อ่าวบิเละ” หาดทรายขาวละเอียดนุ่มเท้าลักษณะโค้งเป็นรูปนกบิน มีฝูงปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายให้เห็นอยู่ทั่วไปห่างจากชายหาดลงไปในทะเลมีกัลปังหาและปะการังหลากชนิด เหมาะแก่การลงเล่นน้ำ  และถือว่าเป็นแหล่งพายเรือคายัค แหล่งดำน้ำ ดูปะการังน้ำตื้นที่สวยงาม จนครั้งหนึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 เกาะ ที่มีหาดน่าเที่ยวและสะอาดที่สุดในโลก!


– บนเกาะมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานฯ มีร้านเครื่องดื่ม ขนม สุขา
– ฤดูกาลท่องเที่ยวที่เหมาะสม คือ ช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน (ช่วงเดือน มิ.ย. – ต.ค. เป็นช่วงฤดูมรสุม ไม่เหมาะในการมาเที่ยว)
 การเดินทาง มีเรือเร็วที่อ่าวนาง หรือหาเรือได้ที่ท่าเทียบเรือท่าเลน และท่าเรือที่หาดนพรัตน์ธารา แต่ขอแนะนำให้ซื้อแพ็คเกจแบบครึ่งวัน หรือเต็มวันไปจะสะดวกกว่า ซึ่งส่วนมากจะรวมเรื่องอาหารและเครื่องดื่มและเกาะอื่นๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว

ภูกระดึง ขุนเขามหัศจรรย์แห่งเมืองเลย



ว่ากันว่า....หากอยากพิสูจน์รักแท้ให้พาคนที่เรารักไปร่วมพิสูจน์รักด้วยการเดินทางพิชิตยอดภูของ  อุทยานแห่งชาติภูกระดึง และถ้าหากเขาคนนั้นสามารถร่วมเดินทางไปกับคุณจนกระทั่งถึงยอดดอย และคอยช่วยเหลือดูแลกันและกันเป็นอย่างดีแล้วละก็ เขาก็คือรักแท้ของเราเป็นแน่แท้!!!

         ...นี่คือตำนานคำกล่าวขานที่มักได้ยินเสมอ ๆ เมื่อเอ่ยถึง "ภูกระดึง" หรือ "อุทยานแห่งชาติภูกระดึง" ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการที่เราจะขึ้นไปถึงยอดดอยได้ต้องเดินเท้าเป็นระยะทางกว่า 9 กิโลเมตร คือขึ้นเขา 5 กิโลเมตรบวกทางราบอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตร (โห...ไหวไหมเนี่ย)ซึ่งนอกจากจะมีคู่รักไปพิสูจน์รักแท้แล้ว ภูกระดึง มักจะได้รับความนิยมในการไปแบบกลุ่มเพื่อน ๆ อีกด้วยและทุกคนที่ได้ไปสัมผัสต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตอนเดินเหนื่อยมาก ๆแต่พอได้ไปสัมผัสกับธรรมชาติข้างบน ภูกระดึง แล้วคุ้มค่าสุด ๆ 

ภูกระดึง เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 2 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นภูเขาหินทรายยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 60ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลางเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งของเมืองไทยจุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณคอกเมย มีความสูง 1,316 เมตรจากระดับน้ำทะเล

          สภาพทั่วไปของภูกระดึง ประกอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด พันธุ์สัตว์ป่านานาพันธุ์ หน้าผา ทุ่งหญ้า ลำธาร และน้ำตกอีกทั้งยังเป็นพื้นที่ต้นน้ำของลำน้ำพองซึ่งเป็นลำน้ำสายสำคัญสายหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยความสูงบรรยากาศ และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปีบนยอดภูกระดึงโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิอาจลดต่ำจนถึง 0 องศาเซลเซียสจึงเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวปรารถนาและหวังจะเป็นผู้พิชิตยอดภูกระดึงสักครั้งหนึ่งในชีวิต



จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจบนภูกระดึง

ผานกแอ่น... เป็นลานหินเล็ก ๆ มีสนต้นหนึ่งขึ้นโดดเด่นอยู่ริมหน้าผาเป็นจุดท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สำคัญอยู่ห่างจากที่พักศูนย์วังกวางเพียง 2 กิโลเมตร ในทุกเช้าของหน้าหนาวจะมีนักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปกันมาก และมักจะมีการชิงทำเลดี ๆ เสมอ สมัยนี้ทางไปมักมีช้างอาละวาด ตอนเช้าจะต้องไปพร้อมเจ้าหน้าที่เสมอ ห้ามไปเองเป็นอันขาด นอกจากนั้น หากอากาศดีพอในช่วงเวลาที่เดินเท้าฝ่าความมืดมาชมพระอาทิตย์ขึ้นนั้นเป็นช่วงที่ประจวบเหมาะกับเวลาที่พระจันทร์กำลังจะลับขอบฟ้าด้านตะวันตกนั้นจะได้เห็นภาพสวยงามแปลกตาไปอีกแบบริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ซึ่งจะบานสะพรั่งเต็มต้นในเดือนมีนาคม-เมษายน และใครที่อยากไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นควรเตรียมไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางไปด้วย


น้ำตกทีลอซู อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก



ทีลอซู เลื่องชื่อในสายน้ำมหึมาที่ไหลบ่าลงจากแผ่นผากลางผืนป่ากับนานากิจกรรมท่องเที่ยวผจญภัยที่เติมสีสันให้กับชีวิตผู้มาเยือน

น้ำตกทีลอซูเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของเมืองไทย เกิดจากลำห้วยกล้อท้อทั้งสายไหลตกลงจากหน้าผาสูงชันบนภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 900 เมตร ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก อยู่ห่างจากที่ทำการเขตฯ 1.5 กิโลเมตร

ทีลอซูได้รับการค้นพบเมื่อ 20 กว่าปีก่อน โดยพรานชาวกะเหรี่ยงคนหนึ่งที่เข้าป่ามาล่าสัตว์ คำว่า "ทีลอซู" ก็เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่าน้ำตกใหญ่ หรือน้ำตกดัง ต่อมากรมป่าไม้ประกาศให้บริเวณนี้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง และหลังจากการสำรวจบุกเบิกในปี พ.ศ.2528 น้ำตกทีลอซูก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแวดวงนักท่องเที่ยวผู้รักธรรมชาติ

ทีลอซูมีความสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝนเนื่องจากน้ำฝนที่ตกลงมาจะเพิ่มปริมาณน้ำในลำธารทำให้สายน้ำตกกว้างใหญ่กว่าฤดูอื่น แต่ช่วงฤดูฝนทางเขตฯ ปิดไม่ให้รถยนต์เข้าสู่น้ำตกเพื่อถนอมสภาพทางไม่ให้เสียหายและป้องกันอันตรายแก่ผู้ใช้เส้นทาง โดยนักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการทัวร์กับบริษัทนำเที่ยวซึ่งจะเดินทางด้วยเรือยางแทน และเดินป่าอีกราว 12 กิโลเมตร แต่หากไม่ท่องเที่ยวช่วงฤดูหนาว-ฤดูร้อนก็สามารถใช้ทางรถยนต์เข้าถึงตัวน้ำตกได้ จึงเป็นช่วงเวลาที่เที่ยวได้สะดวกที่สุด

น้ำตกทีลอซู สายน้ำสีขาวสะอาดผืนใหญ่กว้างประมาณ 500 เมตร ไหลตกลงมาจากผาหินปูนสูงประมาณ 200 เมตร ร่มครึ้มด้วยแมกไม้ สายธารน้ำตำแบ่งเป็นสามแนว แนวด้านซ้ายมือใหญ่ที่สุด สูงที่สุด และสวยที่สุด ด้วยธารน้ำหลายสายไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ แนวกลางสายน้ำไหลลงมาจากหน้าผาสูงชันใกล้เคียงกัน แต่ไม่เป็นชั้นและแคบกว่า ส่วนแนวทางขวามือจะเป็นสายน้ำหลายสายที่สุด ทว่าหน้าผาเตี้ยกว่าสองแนวแรก รวมเข้าด้วยกันเป็นภาพของน้ำตกทีลอซูที่ยิ่งใหญ่และงดงาม ทางเดินสู่ทีลอซูเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ลัดเลาะผ่านเข้าไปท่ามกลางป่าไผ่และป่าเบญจพรรณที่มีป้ายสื่อความหมายเกี่ยวกับธรรมชาติและพืชพรรณตามจุดต่าง ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวเบื้องล่างของน้ำตกยังมีเส้นทางเดินท้าขึ้นไปยังจุดชมทิวทัศน์บนยอดเขาฝั่งตรงข้าม เป็นจุดที่มองเห็นน้ำนำทีลอซูได้สวยงามและชัดเจนที่สุด ใช้เวลาเดินไป-กลับประมาณ 2 ชั่วโมง